ก๋วยเตี๋ยวเรือป่าไผ่
18 ธันวาคม 2565 ไปนั่งห้อยขาชมวิถีริมคลองข้าวเม่า ที่ร้านป่าไผ่ อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ยินชื่อคลองนี้มานานแล้วเพิ่งเคยเห็นนี่ล่ะ บอกต่อก๋วยเตี๋ยวอร่อยจริงค่ะ เก็บภาพมาฝากนะคะ
เรื่องเล่าจากอดีต "บาดเจ็บสาหัส"
วันนี้เมื่อ 8 ธันวาคม 2537 ฉันประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะเดินทางไปทำงาน หมดสติไปหนึ่งวัน มาได้ยินเสียงแว่วๆ ของหลายๆ คนดีใจที่ฉันรู้สึกตัว มองไม่เห็นเพราะมีผ้าโพกไว้ทั้งหัวและตา จะขยับตัวก็ไม่ได้โดนมัดมือมัดเท้าไว้กับเตียง รู้สึกคอแห้งหิวน้ำมากขอกินน้ำก็ไม่มีใครให้ได้แต่บอกว่าคุณหมอให้งดน้ำงดอาหาร ทนหิวทรมานนานมากจนได้ยินคุณหมอบอกให้ใช้หลอดกาแฟหยดน้ำใส่ปากให้จิบได้ (ชื่นใจมากมาย)
ตอนอยู่โรงพยาบาลส่วนใหญ่จะหลับ ตื่นเมื่อไรจะได้ยินเสียงแม่กับลูกสาวอยู่ข้างๆ ตลอด (ตอนนั้นลูกมิ้งค์อายุ 1 ขวบ 9 เดือน ติดยายต้องเอามาเฝ้าไข้ด้วย) เวลามีคนไขเตียงให้นั่งลูกมิ้งค์จะพูดว่าผีแม่นั่งแล้ว พอไขเตียงนอนก็จะพูดว่าผีแม่นอนอีกแล้ว จำได้ว่าเวลาโดนฉีดยาผ่านสายน้ำเกลือนั้นแม้หลับอยู่ก็ต้องตื่นเพราะปวดมากมาก ไม่เห็นอะไรอยู่หลายวันจนได้ยินคุณหมอพูดว่าวันนี้จะเปิดตาแล้วนะมาลุ้นพร้อมกันว่าจะมองเห็นไหม แล้วทุกคนตอนนั้นก็ดีใจที่คุณหมอทดสอบแล้วฉันมองเห็น แต่ไม่มีใครให้ฉันดูกระจกไม่ให้ดูรูปที่ถ่ายไว้เลย (ฉันได้รูปนี้มารูปเดียวจริงๆ)
มีผู้ใหญ่ของ กศน. มาเยี่ยมท่านได้บอกให้ฉันใช้สิทธิ์ลาป่วยรักษาตัวให้หายดีก่อนค่อยไปทำงานนะ แต่ ผอ. ที่ทำงานมาขอร้องให้ฉันไปช่วยนั่งคอยบอกงานให้น้องๆ ทำหน่อย ฉันเข้าใจเพราะ กศน.อำเภอสมัยนั้นมีคนน้อย ฉันได้ขออนุญาตคุณหมอไปทำงาน คุณหมอได้บอกอาการจากอุบัติเหตุของฉันมีกะโหลกศรีษะด้านหน้าขวาแตกร้าวและยุบ เลือดคั่งในสมอง เส้นประสาทคู่ที่ 7 ขาดทำให้ใบหน้าด้านซ้ายเป็นอัมพฤก ต้องใช้เวลาให้เส้นประสาทเชื่อมต่อกันสนิทก็จะกลับเป็นปกติ ใบหน้าและลำตัวมีบาดแผลจากกระจกรถบาดหลายแห่ง โชคดีที่ไม่มีโรคประจำตัว และอนุญาตให้ไปทำงานได้แต่ให้ทำเบาๆ ก่อน ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้มาก ทำกายภาพบำบัดให้ครบ สั่งจ่ายยา ออกใบนัดทำกายภาพบำบัดและใบนัดตรวจให้ (ฉันหยุดงาน 45 วัน)
พี่ชายคนโตรับฉันออกจากโรงพยาบาล ฉันถามว่าจะมืดแล้วหรือพี่ตอบว่ายังไม่เที่ยงเลย ฉันถามอีกว่าฝนจะตกหรือพี่ตอบว่าไม่ตกหรอกแดดเปรี้ยง "ฉันก็รู้แล้วว่าตาฉันไม่ปกติเหมือนเดิม" พี่ขับรถฉันนั่งคู่มาด้านหน้าถ้าพี่พูดคุยปกติฉันจะไม่ได้ยินต้องพูดดังๆ "ฉันก็รู้แล้วว่าหูข้างขวาฉันไม่ได้ยิน" มาบ้านได้ดูกระจก "ฉันจึงเห็นว่าหน้าตาฉันไม่เหมือนเดิมแล้ว" เวลาอากาศร้อนมากๆ "ฉันจะปวดหัว อาเจียน" เวลาอากาศหนาวมากๆ "ฉันจะเวียนหัว ไอเรื้อรัง" ต่อมาก็มีอาการของโรคกระเพาะผลจากการทานยามากมายทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณที่หมู่ญาติหามาให้ ตอนนั้นฉันเสียใจมากแต่ฉันยังมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ จึงต้องเรียนรู้และปรับตัวให้อยู่ได้โดยไม่เป็นภาระของใคร "และฉันจะไม่เป็นภาระของใครอีก"
เมื่อฉันกลับไปทำงานจะไม่แสดงอาการเจ็บปวดให้ใครเห็น (เพื่อนร่วมงานใหม่ๆ ที่ไม่รู้ประวัติของฉันยิ่งไม่รู้เลยว่าฉันป่วย) ฉันจะทำงานเต็มร้อยกับหน้าที่และความรับผิดชอบเสมอ แต่พอขึ้นรถกลับบ้านเท่านั้นแหละหลับเลย บางวันถึงบ้านหมดสภาพแล้วลงนอนเลยแม่ก็จะเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้จนลุกได้ มีบางครั้งที่ลุกไม่ได้ก็ถูกหิ้วปีกพาไปหาคุณหมอ แม้หน้าที่การงานไม่เคยบกพร่องแต่ฉันก็ขาดความมั่นใจหากฉันแข็งแรงดีฉันคงทำอะไรได้มากกว่านี้ ฉันไม่กล้าขับรถอีกเลยเพราะคนในครอบครัวห้ามและฉันก็กลัว กลัวผลข้างเคียงที่ตามมาจนทุกวันนี้ผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ยังมีอาการให้เห็นเป็นระยะๆ ถ้าเปรียบเป็นแผ่นดินไหวก็คงเป็นอาการอาฟเตอร์ช็อกนั่นล่ะ