วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2565

 เรื่องเล่าจากอดีต "บาดเจ็บสาหัส"


        

        วันนี้เมื่อ 8 ธันวาคม 2537  ฉันประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะเดินทางไปทำงาน  หมดสติไปหนึ่งวัน  มาได้ยินเสียงแว่วๆ ของหลายๆ คนดีใจที่ฉันรู้สึกตัว  มองไม่เห็นเพราะมีผ้าโพกไว้ทั้งหัวและตา จะขยับตัวก็ไม่ได้โดนมัดมือมัดเท้าไว้กับเตียง  รู้สึกคอแห้งหิวน้ำมากขอกินน้ำก็ไม่มีใครให้ได้แต่บอกว่าคุณหมอให้งดน้ำงดอาหาร  ทนหิวทรมานนานมากจนได้ยินคุณหมอบอกให้ใช้หลอดกาแฟหยดน้ำใส่ปากให้จิบได้ (ชื่นใจมากมาย)

        ตอนอยู่โรงพยาบาลส่วนใหญ่จะหลับ  ตื่นเมื่อไรจะได้ยินเสียงแม่กับลูกสาวอยู่ข้างๆ ตลอด (ตอนนั้นลูกมิ้งค์อายุ 1 ขวบ 9 เดือน ติดยายต้องเอามาเฝ้าไข้ด้วย)  เวลามีคนไขเตียงให้นั่งลูกมิ้งค์จะพูดว่าผีแม่นั่งแล้ว  พอไขเตียงนอนก็จะพูดว่าผีแม่นอนอีกแล้ว  จำได้ว่าเวลาโดนฉีดยาผ่านสายน้ำเกลือนั้นแม้หลับอยู่ก็ต้องตื่นเพราะปวดมากมาก  ไม่เห็นอะไรอยู่หลายวันจนได้ยินคุณหมอพูดว่าวันนี้จะเปิดตาแล้วนะมาลุ้นพร้อมกันว่าจะมองเห็นไหม  แล้วทุกคนตอนนั้นก็ดีใจที่คุณหมอทดสอบแล้วฉันมองเห็น  แต่ไม่มีใครให้ฉันดูกระจกไม่ให้ดูรูปที่ถ่ายไว้เลย (ฉันได้รูปนี้มารูปเดียวจริงๆ)

        มีผู้ใหญ่ของ กศน. มาเยี่ยมท่านได้บอกให้ฉันใช้สิทธิ์ลาป่วยรักษาตัวให้หายดีก่อนค่อยไปทำงานนะ  แต่ ผอ. ที่ทำงานมาขอร้องให้ฉันไปช่วยนั่งคอยบอกงานให้น้องๆ ทำหน่อย  ฉันเข้าใจเพราะ กศน.อำเภอสมัยนั้นมีคนน้อย  ฉันได้ขออนุญาตคุณหมอไปทำงาน  คุณหมอได้บอกอาการจากอุบัติเหตุของฉันมีกะโหลกศรีษะด้านหน้าขวาแตกร้าวและยุบ เลือดคั่งในสมอง เส้นประสาทคู่ที่ 7 ขาดทำให้ใบหน้าด้านซ้ายเป็นอัมพฤก  ต้องใช้เวลาให้เส้นประสาทเชื่อมต่อกันสนิทก็จะกลับเป็นปกติ  ใบหน้าและลำตัวมีบาดแผลจากกระจกรถบาดหลายแห่ง  โชคดีที่ไม่มีโรคประจำตัว  และอนุญาตให้ไปทำงานได้แต่ให้ทำเบาๆ ก่อน  ทานอาหารที่มีประโยชน์  พักผ่อนให้มาก  ทำกายภาพบำบัดให้ครบ  สั่งจ่ายยา  ออกใบนัดทำกายภาพบำบัดและใบนัดตรวจให้ (ฉันหยุดงาน 45 วัน)

        พี่ชายคนโตรับฉันออกจากโรงพยาบาล  ฉันถามว่าจะมืดแล้วหรือพี่ตอบว่ายังไม่เที่ยงเลย  ฉันถามอีกว่าฝนจะตกหรือพี่ตอบว่าไม่ตกหรอกแดดเปรี้ยง "ฉันก็รู้แล้วว่าตาฉันไม่ปกติเหมือนเดิม"  พี่ขับรถฉันนั่งคู่มาด้านหน้าถ้าพี่พูดคุยปกติฉันจะไม่ได้ยินต้องพูดดังๆ  "ฉันก็รู้แล้วว่าหูข้างขวาฉันไม่ได้ยิน"  มาบ้านได้ดูกระจก "ฉันจึงเห็นว่าหน้าตาฉันไม่เหมือนเดิมแล้ว"  เวลาอากาศร้อนมากๆ "ฉันจะปวดหัว อาเจียน"  เวลาอากาศหนาวมากๆ "ฉันจะเวียนหัว ไอเรื้อรัง"  ต่อมาก็มีอาการของโรคกระเพาะผลจากการทานยามากมายทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณที่หมู่ญาติหามาให้  ตอนนั้นฉันเสียใจมากแต่ฉันยังมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ  จึงต้องเรียนรู้และปรับตัวให้อยู่ได้โดยไม่เป็นภาระของใคร  "และฉันจะไม่เป็นภาระของใครอีก"

        เมื่อฉันกลับไปทำงานจะไม่แสดงอาการเจ็บปวดให้ใครเห็น (เพื่อนร่วมงานใหม่ๆ ที่ไม่รู้ประวัติของฉันยิ่งไม่รู้เลยว่าฉันป่วย)  ฉันจะทำงานเต็มร้อยกับหน้าที่และความรับผิดชอบเสมอ  แต่พอขึ้นรถกลับบ้านเท่านั้นแหละหลับเลย  บางวันถึงบ้านหมดสภาพแล้วลงนอนเลยแม่ก็จะเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้จนลุกได้  มีบางครั้งที่ลุกไม่ได้ก็ถูกหิ้วปีกพาไปหาคุณหมอ  แม้หน้าที่การงานไม่เคยบกพร่องแต่ฉันก็ขาดความมั่นใจหากฉันแข็งแรงดีฉันคงทำอะไรได้มากกว่านี้  ฉันไม่กล้าขับรถอีกเลยเพราะคนในครอบครัวห้ามและฉันก็กลัว กลัวผลข้างเคียงที่ตามมาจนทุกวันนี้ผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ยังมีอาการให้เห็นเป็นระยะๆ  ถ้าเปรียบเป็นแผ่นดินไหวก็คงเป็นอาการอาฟเตอร์ช็อกนั่นล่ะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น